ความรู้เรื่องการอ่าน
การอ่านหนังสือให้ได้รับ “อรรถ” และ “รส” และสามารถนำสาระของเรื่องไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์
ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้ในการอ่านอย่างรอบด้าน และรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการอ่านและเรื่องของหนังสืออย่างกว้างขวาง
เช่น
-
ประเภทของหนังสือ
-
จุดมุ่งหมายของการอ่าน
-
องค์ประกอบของการอ่าน
ฯลฯ
จะได้กล่าวถึงเรื่องต่างๆ
ข้างต้นไปโดยลำดับ
ประเภทของหนังสือ
การแบ่งหนังสือประเภทต่างๆ
นั้นสามารถแบ่งได้หลายวิธีหลายประเภท
ฉัตรชัย ศุกรกาญจน์ แบ่งหนังสือไว้ว่ามี 4 ประเภท
1.
แบ่งตามเนื้อหา
2.
แบ่งตามวิธีเสนอเนื้อหา
3.
แบ่งตามระดับผู้อ่าน
4.
แบ่งตามลักษณะของหนังสือ
ส่วนโกชัย สาริกบุตร แบ่งประเภทของหนังสือไว้ 6
ประเภท คือ
1.
การแบ่งประเภทตามลักษณะและขนาดรูปเล่ม
2.
การแบ่งประเภทแนวเนื้อหา
3.
การแบ่งประเภทตามลักษณะคำประพันธ์
4.
การแบ่งประเภทตามวาระการพิมพ์
5.
การแบ่งประเภทตามสภาพผู้ผลิต
6.
การแบ่งประเภทตามวิธีหาข้อมูลของผู้แต่ง
การแบ่งประเภทหนังสือของโกชัย สาริกบุตร
นั้นมีรายละเอียดคล้ายคลึงกับของฉัตรชัย ศุกรกาญจน์อยู่หลายตอน และมีส่วนแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย
ซึ่งจะนำเสนอการแบ่งประเภทของหนังสือตามแนวของโกชัย สาริกบุตร โดยละเอียด ดังนี้
1. การแบ่งประเภทตามลักษณะและขนาดรูปเล่ม วิธีนี้พิจารณาขนาดของเล่มเป็นสำคัญ คือ
ดูความกว้างยาวของรูปเล่มโดยประมาณ
1.1 หนังสือขนาดใหญ่ที่สุดในท้องตลาดบ้านเรา
คือหนังสือพิมพ์รายวัน รูปเล่มกว้างยาวมากๆ เป็นกระดาษแผ่นใหญ่พับครั้งเดียว
เป็นหนังสืออ่านฉาบฉวย จึงฉีกขาดง่าย
1.2
ถ้าพับหนังสือพิมพ์รายวันลงครึ่งหนึ่ง
คือพับกระดาษจากขอบบนลงสู่ขอบล่างก็จะเป็นหนังสืออีกขนาดหนึ่ง อย่างเช่น
ขนาดหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์เป็นต้น
1.3
ถ้าพับหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์โดยให้มีขนาดกว้างยาวลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งคราวนี้จะกลายเป็นหนังสือปกติ
อย่างหนังสือ “การอ่านขั้นใช้วิจารณญาณ” ฉบับที่ท่านถืออยู่ในมือขณะนี้ซึ่งภาษาโรงพิมพ์เรียกว่า หนังสือขนาด 8 หน้ายก คือ นับจำนวน 8 หน้า ( 4 แผ่น) เป็น 1 ยก คำว่า ยก
จึงเกี่ยวข้องกับรายการพับหน้ากระดาษระบบการเรียงตัวอักษรขึ้นสู่แท่นพิมพ์
และเกี่ยวกับการกำหนดราคาหนังสือด้วย
1.4 ถ้าพับหนังสือขนาด 8 หน้ายก ให้มีขนาดกว้างยาวลดลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ก็จะกลายเป็นขนาดที่ท้องตลาดเรียกว่าฉบับกระเป๋า
(Pocket Book) ซึ่งภาษาทางโรงพิมพ์เรียกว่า หนังสือขนาด 16 หน้ายก คือนับจำนวน 16 หน้า ( หรือ 8 แผ่น) เป็น 1 ยก
ถ้าเราต้องการให้หนังสือขนาดเล็กลงไปอีกก็คงต้องพับหน้ากระดาษให้ลดลงไปคราวละครึ่งหน้าแต่ก็อาจจะมีขาดความกว้างยาวต่างกันได้เล็กๆน้อยๆ
2. การแบ่งประเภทแนวเนื้อหา การแบ่งประเภทหนังสือตามวิธีนี้ เป็นเรื่องที่นักศึกษาควรสนใจมาก
เพราะระบบการจัดหนังสือตามห้องสมุดทั่วไป นิยมจัดหนังสือตามประเภทของเนื้อหาในเล่ม
แนวของเนื้อหาในหนังสือ แบงกว้างๆ ได้ 3
ประเภท คือ
2.1 ประเภทตำราทางวิชาการ
เนื้อหามุ่งให้ความรู้เป็นหลัก
2.2 ประเภทสารคดี
(กึ่งวิชาการและกึ่งบันเทิง) เนื้อหาให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินไปพร้อมๆกัน
2.3 ประเภทบันเทิงคดี
เนื้อหามุ่งให้ความเพลิดเพลินเป็นหลัก
การแบ่งหนังสือเป็น3 ประเภทอย่างนี้ พิจารณาจากเนื้อหาเป็นหลักสำคัญ
แต่การแบ่งอย่างนี้ก็มีปัญหาอยู่บ้าง
เพราะมีหนังสือเป็นจำนวนมากที่ผู้แต่งเขียนก้ำกึ่ง
3. การแบ่งประเภทตามลักษณะคำประพันธ์ วิธีนี้พิจารณารูปแบบหรือฉันทลักษณ์ของการเขียน
ซึ่งนิยมแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
3.1 ประเภทร้อยแก้ว
คือเขียนในลักษณะความเรียง ไม่มีบังคับในเรื่อง วรรค บท หรือสัมผัส
3.2 ประเภทบทละคร
คือวิธีเขียนที่แบ่งเป็นฉากหรือองค์ มีตัวละคร มีบทสนทนา และมีคำอธิบายฉากหรือบทของตัวละครซึ่งใช้เป็นแนวทางให้นำไปแสดงละครบนเวทีจริง
ๆ ได้
3.3 ประเภทร้อยกรอง
คือบทกวีทั้งหลายที่มีฉันทลักษณ์กำหนดไว้แน่นอน ในภาษาไทยมี โคลง ฉันท์ กาพย์
กลอนและร่าย เป็นต้น
4. การแบ่งประเภทตามวาระการพิมพ์ วิธีนี้เป็นการแบ่งประเภทของหนังสือตามกำหนดเวลาที่ตีพิมพ์ออกมาวางขายในท้องตลาด
แบ่งได้ ดังนี้
4.1 รายวัน คือ
ออกจำหน่ายเป็นประจำทุกวัน
4.2 รายสัปดาห์ คือ ออกสัปดาห์ละ 1 เล่ม
4.3 รายปักษ์ คือ ออก 15 วัน 1 เล่ม
4.3 รายเดือน คือ ออกเดือนละ 1
เล่ม
4.4 รายคาบ คือ ออกในระระยาว เช่น 2 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน
ต่อ 1 เล่ม หรือปีละ 3 เล่ม เป็นต้น
4.5 รายปี คือ ออกปีละ 1 เล่ม
4.6
รายสะดวก คือ ไม่มีกำหนดแน่
พร้อมเมื่อใดก็พิมพ์ออกขายเมื่อนั้น
5. การแบ่งประเภทตามสภาพผู้ผลิต วิธีนี้หมายถึงพิจารณาสำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตหนังสือเล่มนั้นออ
ออกมา
แบ่งได้ ดังนี้
5.1 สำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ที่เป็นของทางราชการหรือกึ่งราชการ
5.2 สำนักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ที่เป็นรูปของบริษัทการค้า หรือห้างหุ้นส่วนของเอกชน
5.3
ผู้แต่งหนังสือผลิตเองเป็นการส่วนตัว ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า “แต่งเอง
พิมพ์เอง ขายเอง”
6. การแบ่งประเภทตามวิธีหาข้อมูลของผู้แต่ง การแบ่งประเภทตามวิธีหาข้อมูลของผู้แต่งวิธีนี้พิจารณาตัวผู้เขียนหรือนักประพันธ์เป็นสำคัญ
แบ่งได้ ดังนี้
6.1 ประเภทเรื่องแต่งเองทั้งหมด
6.2 ประเภทรวบรวมมา
ผู้แต่งใช้วิธีตัดต่อข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ
6.3 ประเภทเรียบเรียง
วิธีนี้ผู้แต่งยังคงได้ข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆ แต่ผู้แต่งจะเสริมความรู้
ความคิดของตัวเองลงไปเป็นอย่างมาก จนอ่านแล้วมีลักษณะเป็นตัวของตัวเองยิ่งกว่าประเภทรวบรวมมา
6.4 ประเภทนำของเดิมมาเล่าใหม่
วิธีนี้ผู้แต่งจะเป็นเพียงผู้นำของเก่ามาเล่าใหม่ด้วยภาษาของตนเอง
มีการอธิบายประกอบ สันนิษฐานหรือแสดงตำนานบ้าง
แล้วแต่กลวิธีของผู้แต่งที่จะทำให้น่าสนใจขึ้นมา
6.5
ประเภทเรื่องแปลภาษามาจากต่างประเทศ
6.6 ประเภทเรื่องแปลและดัดแปลง
วิธีนี้ผู้เขียนจะต้องใช้ความสามารถสูง เพราะเมื่อแปลภาษามาจากต่างประเทศแล้ว
จะดัดแปลงบางอย่างเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น
สนุกขึ้นหรือให้เนื้อเรื่องมีบรรยากาศเหมาะสมกับสภาพสังคมของผู้อ่านมากขึ้น
ประเภทนี้บางท่านเรียกว่า “แปลและเรียบเรียง” บางท่านใช้คำว่า “เรื่องแปลง”
หนังสือที่แบ่งออกเป็น
6 ประเภท แต่ละประเภทย่อมมีลักษณะเฉพาะตัวและมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน
เช่น ฉัตรชัย ศุกรกาญจน์แบ่งประเภทหนังสือที่แบ่งตามเนื้อหาออกเป็น 2 ชนิด ซึ่งสอดคล้องกับการแบ่งหนังสือในการแบ่งหนังสือโดยทั่งไป คือ
1. บันเทิงคดี
2. สารคดี
หนังสือบันเทิงคดี หมายถึงหนังสือที่ผู้เขียนขึ้นโดยมีจุดประสงค์จะให้ความบันเทิงหรือความสนุกสนานเป็นสำคัญ
ซึ่งแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ตามลักษณะของหนังสือต่อไปนี้ คือ
ก. หนังสือนิทาน
ข. หนังสือนิยาย
ค. หนังสือเรื่องสั้น
ง. หนังสือวรรณคดี
จ. หนังสือการ์ตูนและภาพชวนขัน
ฉ. หนังสือบทละคร
หนังสือสารคดี หมายถึงหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อให้ความรู้ควบคู่ไปกับความเพลิดเพลินหรือหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อมุ่งความรู้และข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
ได้แก่หนังสือประเภทต่อไปนี้
ก. ตำราเรียนหรือแบบเรียน ตลอดจนรายงานการวิจัย
ข. ชีวประวัติ ประวัติสถานที่
ค. บทความ
ง. สาระบันเทิงคดี
ส่วนการแบ่งหนังสือตามวิธีเสนอเนื้อหานั้น
อาจแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือ
หนังสือสำหรับอ่านเองและหนังสือสำหรับอ่านให้ผู้อื่นฟัง
ซึ่งจะมีหลากหลายไปอีกตามกิจกรรมและตามวัยของผู้อ่าน
ซึ่งไม่จำเป็นในรายวิชาการอ่านทั่วไป
การแบ่งหนังสือตามลักษณะของหนังสือคล้ายคลึงกับที่โกชัย สาริกบุตร
แบ่งเป็นประเภทขนาดรูปเล่มและแบ่งตามวิธีจัดหน้ากระดาษซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจตามที่ฉัตรชัย
ศุกรกาญจน์แบ่งไว้ 9 ประเภท คือ
1. จุลสาร (Pamphlet)
หมายถึงหนังสือขนาดเล็กตั้งแต่ 8
หน้ายก ลงไปถึง 32 หน้ายก หรืออาจมีความสูงเท่าขนาด 8 หน้ายก หรือ 16 หน้ายก แต่มีความกว้างเพียงครึ่งหนึ่งของหนังสือทั้งสองขนาดที่กล่าวมาแล้ว
จุลสารมักมีเนื้อหาค่อนข้างสั้น ความยาวมักไม่เกิน 60 หน้า
2. รัฐสาร (Government
Publications)
หมายถึงหนังสือที่รัฐบาลหรือรัฐสภาเป็นผู้ผลิตเนื้อหามักเป็นเรื่องว่าด้วยพระราชกำหนด
พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา และรัฐธรรมนูญ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นแผ่นปลิว
ซึ่งพิมพ์ด้วยกระดาษชนิดดี
3. วารสาร (Journal)
หมายถึงหนังสือที่พิมพ์ออกเป็นงานประจำตามระยะเวลาที่แน่นอน เช่น รายสัปดาห์
รายปักษ์ รายเดือน และรายสองเดือน เป็นต้น
4. สมพัตสรสาร (Annual)
หมายถึงหนังสือพิมพ์ออกเป็นรายปี เช่น รายงานประจำปี สถิติรายปี เป็นต้น
5. อัลปสาร (Brochure)
หมายถึงหนังสือที่เข้าเล่มด้วยวิธีเจาะรูแล้วร้อยด้วยเชือก
6. หนังสือตัวเขียน (Manuscript)
หมายถึงหนังสือซึ่งเขียนด้วยลายมือ เช่น หนังสือข่อย หนังสือใบลาน
และหนังสือสมุดเป็นต้น
7. หนังสือภาพ (Picture Book)
หมายถึงหนังสือที่มีภาพเป็นส่วนใหญ่ภาพที่ใช้มักเป็นภาพถ่าย
8. หนังสือภาพชวนขัน (Comic
Book)
หมายถึงหนังสือที่มีภาพลายเส้นวาดต่อเนื่องกันทุกหน้า
9. หนังสือทั่วไป (Book)
หมายถึงหนังสือเล่ม ดังที่พบเห็นกันทั่วไป
ความหมายของการอ่าน
การอ่านคือการรับรู้ความหมายจากถ้อยคำที่ตีพิมพ์อยู่ในสิ่งพิมพ์
หรือหนังสือ โดยผู้อ่านรับรู้ว่าผู้เขียนได้ส่งสารอะไรมายังผู้อ่าน
ทั้งในด้านความคิด ความรู้ ความหมาย ความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น
ว่าผู้เขียนตั้งใจจะแสดงความคิดอย่างไร มีความหมายว่าอย่างไร
เกี่ยวข้องถึงอะไรบ้าง
ลำดับขั้นของการอ่านจะเริ่มต้นตั้งการทำความเข้าใจในถ้อยคำแต่ละคำ
กลุ่มคำแต่ละกลุ่ม และเรื่องราวแต่ละเรื่องราวที่เรียงรายต่อเนื่องต่อเนื่องกันอยู่ในย่อหน้าหนึ่ง
หรือในตอนหนึ่ง ซึ่งผู้อ่านต้องทำความเข้าใจไปทีละตอนเป็นลำดับ
การอ่านที่มีประสิทธิภาพนั้น
คือการอ่านอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว เก็บความและสาระได้ครบถ้วน
และสามารถใช้วิจารณญาณตัดสินว่าสิ่งใดควรเชื่อถือหรือไม่เพียงใด
ความหมายของการอ่านตามพจนานุกรมอธิบายว่าหมายถึง
ว่าตามตัวหนังสือ ดูหรือเข้าใจความจากตัวหนังสือ สังเกตหรือพิจารณาดูเพื่อเข้าใจ
คิดนับ (ไทยเดิม)
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการอ่านนั้นมีความหมายกว้างขวางมากทั้งการทำความเข้าใจหนังสือด้วยความรู้
การสังเกต พิจารณา ด้วยเชาวน์ปัญญารอบด้านและการหมั่นฝึกฝนจนชำนาญการอ่าน
บุญเลิศ บัวคำ กล่าวถึงเรื่องการอ่านไว้ตอนหนึ่งว่า
โดยทั่วไปการอ่านมีสิ่งที่ต้องการอยู่สองลักษณะคือ
“อรรถ” กับ “ รส”
การอ่านหนังสือประเภทวิชาการเราจะเน้นเรื่องอรรถ
ในทำนองเดียวกันถ้าเป็นหนังสือประเภทบันเทิงคดีเราจะเน้นเรื่องรสมากกว่าอรรถ
แต่หนังสือบางชนิดก็
ความรู้เรื่องการอ่าน
โดย สมพร
มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์
พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2534 จำนวนพิมพ์ 2,000 เล่ม สงวนลิขสิทธ์
พิมพ์ที่ โอ. เอส. พริ้นเตอร์
เฮ้าส์
113/13 ซอยวัดสุวรรณคีรี ถนนปิ่นเกล้า- นครชัยศรี เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพฯ 10700 โทร 424-6944, 424-7292
นายประสิทธิ์ สันติวัฒนา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา 2534
มีทั้งอรรถและรสอยู่ในตัวอ้างอิงรูป Googel
อ่านมาก ความรู้ก็มากตาม ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลย
ตอบลบเนื้อหาน่าสนใจมากเลย
ตอบลบเนื้อหาน่าสนใจมากเลย
ตอบลบเนื้อหามีประโยชน์มาก
ตอบลบโห ได้รับประโยชน์มากๆ
ตอบลบเนื้อหาน่าสนใจดีค่ะ
ตอบลบ